จากบทความเรื่อง “การวางแผน (Planning) VS แผน (Plan)”
เราได้พูดถึง กฎเหล็กสามข้อ เลยอยากจะขยายความ นำข้อมูลจากหนังสือ The One Thing มาบันทึกเก็บไว้ด้วยเลย เวลาอยากจะอ่าน จะได้ไม่ต้องเปิดหนังสือ แถมยังแชร์ให้คนอื่นได้อ่านอีกด้วย ครุคริ
อย่างที่บอกว่า กฎเหล็ก 3 ข้อประกอบด้วย
- มีความพยายามอันน่าทึ่ง มุ่งสู่ความเป็นเลิศ (ทำตามแผน ที่เราได้วางแผน นั่นแหละ)
- หมั่นเสาะหาวิธีที่ดีที่สุดในการทำสิ่งต่าง ๆ ไม่มีอะไรไร้ประประโยชน์ไปกว่าการพยายามอย่างเต็มที่ (หากทำตามแผน แล้วมีปัญหา)
- มีความรับผิดชอบที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ “เป้าหมาย” ของคุณสำเร็จ (ยอมรับ วางแผนใหม่ และสู้ต่อไป)
เราจะขยายความ 3 ข้อนี้ให้เข้าใจกันชัดๆ ว่า การ “ลงมือทำด้วยความพยายาม และรับผิดชอบกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น” เป็นอย่างไร
1. มุ่งสู่ความเป็นเลิศ
ความเป็นเลิศ คือ การทุ่มเทอย่างสุดความสามารถเพื่อดึงเอาศักยภาพที่ดีที่สุดของตัวเอง ออกมาใช้กับงานที่สำคัญที่สุด มันเป็นวิธีที่มือสมัครเล่นใช้ในการเรียนรู้ และฝึกฝนขั้นตอนพื้นฐานระหว่างการเดินทาง เพื่อสั่งสมประสบการณ์และความชำนาญ
ให้นึกถึง นักคาราเต้สายขาว ที่กำลังฝึกฝนเพื่อเลื่อนระดับจะรู้ท่าต่อสู้พื้นฐานแบบเดียวกับที่นักคาราเต้สายดำรู้ แต่พวกเขายังฝึกฝนได้ไม่มากพอที่จะทำให้มันออกมาดี ท่าใหม่ ๆ ที่เราเห็นนักคาราเต้สายดำใช้ล้วนมาจากการฝึกฝนท่าพื้นฐานของสายขาวจนเชี่ยวชาญแล้วทั้งสิ้น
ซึ่งการฝึกฝนจนเชี่ยวชาญจะขึ้นอยู่กับจำนวนชั่วโมงในการฝึกฝน
2. เปลี่ยน “พ” ให้เป็น “ป”
การเสาะหาวิธีที่ดีที่สุด ไม่ใช่แค่ การทำให้ดีที่สุดเท่าที่ตัวเราทำได้ แต่ขึ้นอยู่กับ การทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด เท่าที่มันจะดีได้
ขั้นตอนนี้เรียกว่า การเปลี่ยน “พ” ให้เป็น “ป”
พ = พรสวรรค์ หรือเรียกว่า การทำตามสัญชาตญาณ
บางคนมีพรสวรรค์ในการใช้ขวาน แค่รับฟังคำแนะนำหรือฝึกฝนเพียงเล็กน้อย ก็ใช้งานได้อย่างคล่องแคล่ว แต่บางคนที่ใช้ขวานได้ไม่คล่องแคล่ว หรือไม่มีพรสวรรค์ สิ่งที่ต้องทำเลยคือ “ทลายขีดจำกัดของตัวเอง” โดยการ
ป = มุ่งไปที่เป้าหมาย หรือเป็นการ ทำตามสิ่งที่ขัดกับสัญชาตญาณ
ทำไมการเปลี่ยนเป็น “เป้าหมาย” ถึงดีกว่า
ยกตัวอย่างนี้เลย ถ้าเราขอให้คนที่มี “พ” ออกไปตัดต้นไม้ คนเหล่านี้ก็จะแบกขวานแล้วตรงดิ่งเข้าไปในป่าทันที แต่คนที่ใช้วิธีคิดแบบ “ป” จะถามกลับว่า “ฉันจะหาเลื่อยไฟฟ้าได้จากที่ไหน”
ซึ่งการเปลี่ยน การเปลี่ยน “พ” ให้เป็น “ป” จะช่วยให้เราทำสิ่งที่อยู่นอกเหนือข้อจำกัดของตัวเองและจะประสบความสำเร็จได้ไกลเกินกว่าที่พรสวรรค์ของเราจะสามารถทำได้
ลองดูภาพนี้
3. มีความรับผิดชอบ
จงรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่ต้องการ
เวลามีอุปสรรคที่เกิดขึ้นในชีวิต เราเลือกได้ว่าจะมองอย่างไรระหว่าง “ลิขิต” ชะตาชีวิตตัวเอง กับมีทัศนคติว่าเราเป็น “เหยื่อ”
และเรามีแค่สองทางเลือกเท่านั้น คือ
- แสดงความรับผิดชอบ
- ปัดความรับผิดชอบ
นี่อาจจะฟังดูโหดร้าย แต่มันคือความจริง ทุกวันเราต้องเลือกทางเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะติดตัวเราไปตลอดชีวิต
ดูภาพนี้
ยกตัวอย่างนี้ จากภาพด้านบน “ยอดขายของร้านเดือนที่แล้วขายได้เยอะมาก เดือนนี้ขายแทบไม่ได้เลย”
ผู้จัดการที่มีความรับผิดชอบ จะพยายามหาคำตอบทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ผู้จัดการอีกคนกลับไม่ยอมรับความจริง โดยมองว่า ก็แค่ยอดขายตกลงนิดหน่อย เป็นแค่เรื่องผิดปกติเล็กน้อยเท่านั้น
ในขณะเดียวกันผู้จัดการที่มีความรับผิดชอบ จะค้นพบว่า คู่แข่งแย่งส่วนแบ่งตลาดไป และพยายามที่จะหาวิธีการ ขั้นตอน เพื่อแก้ไขปัญหานี้ จะลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง
ผู้จัดการอีกคนมองแค่ว่าตัวเองเป็นเหยื่อ การมีคู่แข่ง มันไม่ใช่หน้าที่ของฉัน
จะเห็นได้ว่า คนที่ประสบความสำเร็จ มักเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างแจ่มแจ้ง พวกเขาไม่กลัวที่จะยอมรับความจริง แต่กลับเสาะหา ยอมรับ และแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขารู้ว่านี่เป็นหนทางเดียวที่จะช่วยค้นพบวิธีแก้ปัญหา นำมันไปปรับใช้ และพบเจอกับผลลัพธ์ที่ต่างออกไปจากเดิม
ในหนังสือ The One Thing ยังบอกอีกว่า ตัวช่วยที่จะช่วยให้คุณมีความรับผิดชอบในเวลาอันรวดเร็วนั้น คือ การจับคู่กับใครซักคน ไม่ว่าจะเป็นที่เพื่อนฝูง โค้ช ที่ต้องอยู่บนฐานของความรับผิดชอบ และอนุญาตให้เขาพูดกับเราตามความเป็นจริง โดยไม่ต้องทำหน้าที่เป็นเหมือนเชียร์ลีดเดอร์ ที่ถึงแม้ว่าเขาจะให้กำลังใจคุณได้ก็ตาม คู่ของคุณจะต้องมอบความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมาและเป็นจริงเกี่ยวกับผลงานของคุณ
ความแตกต่างที่สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวระหว่างมือสมัครเล่นกับคนเก่งระดับแนวหน้าก็คือ คนกลุ่มหลังมีครูและโค้ชคอยให้คำแนะนำ
บทความนี้ : สรุป และคัดลอกจากหนังสือ The One Thing บทที่ 16 นะจ๊ะ เรารู้สึกว่า ในบทนี้ มันคือเรื่องของ Growth Mindset และ Fix Mindset ดีๆ นี้เอง เป็นการขยายความให้เห็นภาพในอีกแบบหนึ่ง หลังจากอ่านเล่ม “Mindset ใช้ความคิดเอาชนะโชคชะตา” ไป The One Thing บทนี้ เขียนได้ดีเลย